🇰🇷 Twenty-Five, Twenty-One 9.5/10
16 ตอนจบซับไทย Netflix
เรื่องย่อ
สภาวะปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทำให้ชีวิตของแพคอีจิน ลูกชายคนโตครอบครัวนักธุรกิจ และนาฮีโด นักกีฬาฟันดาบ ต้องเปลี่ยนไปแต่กระนั้นทั้งคู่ต่างก็ให้กำลังใจกันเพื่อฝ่าฟันอุปสรรค จากความเป็นเพื่อนสู่สถานะคนรัก
รีวิว
เรื่องนี้เป็นแนวดราม่า โรแมนติก อ้างอิงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ มีจุดเริ่มต้นวิวัฒนาการการก้าวหน้าของเทคโนโลยี กลิ่นอายของยุคสมัยเก่าช่วง 90 และยุคสมัยใหม่ การใช้ชีวิตที่แตกต่างกันของผู้คนในแต่ละยุคสมัย มาร้อยเรียงผูกเรื่องให้ผสมกันได้อย่างลงตัว
เนื้อเรื่องเริ่มต้นจากปี 1998 สภาวะที่เศรษฐกิจทั่วโลกต้องพบกับวิกฤต IMF (ช่วงเดียวกับที่ไทยเจอวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง) สถาบันการเงินล้ม นักธุรกิจล้มละลายส่งผลให้ครอบครัวหลายครอบครัวต้องประสบกับปัญหาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ครอบครัวพระเอกเป็นครอบครัวหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ ตัวพระเอกต้องแยกจากพ่อแม่น้องชาย อยู่คนละที่กับครอบครัว แถมต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน ตัดสินใจไปเข้ากรม(ทหาร)ก็ได้ออกก่อนกำหนดเพราะปัญหาครอบครัว แต่ออกมาก็ไร้ที่พึ่งพิง ต้องมาเริ่มต้นใหม่กับห้องเช่าเล็กๆ หางานพาร์ทไทม์ทำเพราะไปสมัครงานที่ไหนก็ยากเพราะตัวเองเรียนไม่จบป.ตรี ส่วนนางเอกเป็นนักกีฬาฟันดาบที่เคยเป็นดาวรุ่ง แต่ตอนนี้ฝีมือดร็อปลง แม่ก็พยายามบอกให้เลิกเล่นแต่นางเอกไม่ยอมเลิก ทีมกีฬาฟันดาบของนางเอกต้องถูกยุบเนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจทำให้นางเอกที่มักจะทะเลาะกับแม่ต้องยอมขอร้องให้แม่ช่วยย้ายตัวเองไปเรียนโรงเรียนใหม่ซึ่งมีทีมฟันดาบอยู่ เพราะโรงเรียนนั้นมีนักกีฬาฟันดาบเหรียญทองโอลิมปิกอยู่ชื่อโกยูริม รุ่นราวคราวเดียวกะนางเอกแถมยังเป็นไอดอลด้านกีฬาของนางเอกด้วย การย้ายไปโรงเรียนใหม่ของนางเอกด้วยเส้นสายของแม่ซึ่งเป็นนักข่าวดัง และเคยเป็นคนสนิทของโค้ชในทีมฟันดาบของโรงเรียน แต่เรื่องทุกข์ใจของนางเอกคือการที่ไอดอลที่ตัวเองชื่นชมมาตลอดดูถูกว่านางเอกไม่มีตัวตน ไม่สามารถจะมาเป็นคู่แข่งได้ ดังนั้นนางเอกเลยเศร้ามาก ประจวบเหมาะกับที่ทั้งคู่ได้รู้จักกันเพราะพระเอกทำพาร์ทไทม์ส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้าและเป็นพนักงานร้านเช่ายืมหนังสือการ์ตูนที่นางเอกชอบอ่าน เลยได้เจอกัน พูดคุยกัน ปรึกษาให้คำแนะนำให้กำลังใจกันจนเหมือนเพื่อนคู่คิดไป ชีวิตนางเอกที่มีพระเอกเปลี่ยนไปเพราะได้กลับมาทบทวนความสุขของตัวเองเวลาได้ฟันดาบ ทำให้ฝีมือก้าวกระโดดขึ้นจนสามารถเข้าแคมป์นักกีฬาทีมชาติได้ พระเอกก็รู้จักกับโกยูริมนะเพราะครอบครัวเคยสนับสนุนสถานะการเงินให้มาก่อน ซึ่งพอครอบครัวพระเอกล้มละลายลง ยูริมก็เหมือนหมดที่พึ่งไปด้วย โอกาสของพระเอกเริ่มต้นจากการที่แม่นางเอกเสนอให้รับเด็กฝึกงานโดยไม่ดูวุฒิการศึกษา ทำให้พระเอกได้ไปทำงานเป็นนักข่าวฝึกหัดภาคสนามจากสายกีฬาก่อน แต่นั่นเป็นปัญหาแหละเพราะมันจะถูกมองว่าไม่เป็นกลางเท่าไร แต่นางเอกก็ผ่านดราม่าผลการแข่งขันมาได้เพราะพระเอกช่วยทำข่าวแก้ต่างด้วยส่วนหนึ่ง จากดราม่าแข่งกีฬาก็ทำให้ความเข้าใจผิดของนางเอกกับยูริมดีขึ้นนะ สุดท้ายก็มาเป็นเพื่อนกัน ขอจบการอธิบายเรื่องไว้จุดนี้นะ จะพิมเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับรีวิวเลยต้องเท้าความยาวขนาดนี้
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องดีงามของเรื่องเลย เพราะมันพาเราย้อนไปเมื่อ ยุค90 ปลายๆที่บางคนอาจจะยังไม่เกิดหรือยังเด็กเกินที่จะเข้าใจปัญหาที่เผชิญในช่วงนั้น เราเองก็ยังเด็กเลยใช้ชีวิตปกติไม่ได้เข้าใจอะไรมากหรอก ซึ่งซีรี่ย์นี้มันแสดงให้เห็นความวุ่นวาย ผลกระทบที่เกิดขึ้นนะ จริงๆในเรื่องมันมีการเล่าแบบย้อนกลับไปกลับมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันเยอะมาก แต่การตัดต่อภาพก็ช่วยให้เรื่องมันสมูทโยงเข้ากันได้ จริงๆเปิดเรื่องมาเป็นเด็กสาวอายุ 15 ปีชื่อคิมมินแช นักกีฬายิมนาสติกผู้เป็นลูกสาวของนางเอก อดีตนักกีฬาชื่อดัง ซึ่งลูกสาวเนี่ยก็เปิดอ่านไดอารี่ของแม่ที่เขียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองสมัยเป็นวัยรุ่น ซึ่งมีทั้งความสุขและความเศร้าต่างๆ ภาพก็จะตัดกลับไปเล่าเรื่องในขณะเดียวกันที่ลูกสาวนางเอกอ่านไดอารี่ ซึ่งมันน่าตื่นเต้นดีนะ เหมือนคนดูก็ได้รู้เรื่องราวไปพร้อมๆกับน้องมินแช เรื่องนี้ก็ให้เห็นสมัยที่ไม่มีโทรศัพท์ยังต้องใช้เพจเจอร์ ส่งข้อความไปเปิดฟังในตู้โทรศัพท์สาธารณะ กลิ่นอายที่น่าตื่นเต้นซึ่งอันนี้เราไม่ทันไม่เคยรู้เลยว่าเป็นยังไง ส่วนกล้องก็เป็นกล้องฟิล์มต้องอัดรูปออกมาดู หลังจากเพจเจอร์ก็มายุคมือถือพกพาในปี2000 แต่ถ่ายรูปไม่ได้ การติดต่อสะดวกขึ้นแล้วยังมีคอมพิวเตอร์ที่สามารถติดต่อทางไกลได้ผ่านอีเมล์ สมัยก่อนมันก็มีกลิ่นอายที่มีเสน่ห์อีกแบบหนึ่งแหละ มันอยู่ที่ความชอบเลย แต่มันดูต้องใช้ความพยายามดี การรอคอยก็มาอย่างตื่นเต้นไม่เหมือนสมัยนี้ที่บางครั้งความอดทนสั้นลง ไม่ต้องรอนานมันเลยทำให้ชีวิตดูรีบเร่งไปหมด ไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย ก็เป็นข้อดี-ข้อเสียอย่างแต่ก็ไม่ได้มองว่าอันไหนดีกว่ากันนะ อีกทั้งสมัยก่อนสิ่งเร้าใจมันไม่เยอะเท่าสมัยนี้การอยู่ด้วยตัวเองมันเหงามาก เบื่อมากมีแต่โทรทัศน์ ไม่เหมือนสมัยนี้เนอะมันแท็บเล็ตเข้ามาให้คนเราเลือกดูสิ่งที่อยากดู เช่นซีรี่ส์หรือหนังเน็ตฟลิกซ์ หรือแพลตฟอร์มต่างๆที่เราสามารถดูซีรี่ส์แบบเรียลไทม์หรือย้อนหลังทันทีหลังจบ มันเลยทำให้คนปัจจุบันใช้ชีวิตกับคนอื่นน้อยลง ใช้เวลากับตัวเองมากขึ้น
อีกประเด็นที่ชอบเลยคือคนเขียนบทสร้างพล็อตเรื่องคู่หลักให้ไปโยงอ้างอิงกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ได้เหมาะเจาะมาก เช่น ชีวิตที่เปลี่ยนไปของพระนางกับวิกฤต IMF, การแข่งขันกีฬาในสถานะนักข่าวและนักกีฬากับกีฬาเอเชี่ยนเกมส์กวางจู 1999, ชีวิตนางเอกกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี2001-2005-2009 , ความสัมพันธ์ของพระนางที่มีเหตุการณ์ช็อคโลกอย่าง 9/11 เข้ามา ว้าวมาก คนเขียนบทคือทำการบ้านมาแบบไร้ที่ติเลย เอาเหตุการณ์สำคัญๆเข้ามาเป็นอุปสรรคในชีวิตพระนางแทนปัญหาส่วนตัวงี้ คิดได้ไงอ่า เก่งมากกกกก👏🏻👏🏻👏🏻👏🏻👏🏻👏🏻
จุดเด่นขิงซีรี่ส์เกาหลีเนี่ยถ้าเป็นซีรี่ส์ย้อนอดีตสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการที่คนเขียนบทต้องทิ้งปริศนาไว้ต้นเรื่องเพื่อให้คนดูทรมาณจิตใจกันไปทั้งๆที่อีกหลายตอนกว่าจะจบ เรื่องนี้ก็ทิ้งปมความสัมพันธ์ของพระนางไว้ไม่บอกว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร แล้งน้องมินแชเนี่ยก็จะเป็นปริศนาคือหนูคือใคร พ่อคือคนไหน วิเคราะห์กันไปต่างๆนานา จนหลายคนแซวว่ามันเป็นซีรี่ส์สืบสวนแทนแล้ว 😂😂😂😂😂😂😂😂😂😂😂 ก็บันเทิงไปอีกแบบแหละ แต่อีกจุดเด่นหนึ่งที่ทำให้ซีรี่ส์เรื่องนี้สนุกและน่าติดตามเลยคือบทใช้คำได้ตรงกับความจริงในปัจจุบัน มันทัชใจคนดูจริงๆ เช่นคนที่พรากความฝันของวัยรุ่นคือยุคสมัย มาคิดดูมันก็ถูกนะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รุ่นโตของเราใช้ชีวิตได้ แต่พอเด็กรุ่นเจนวาย เจนซีคือชีวิตแม้จะสะดวกสบายขึ้นแต่มันก็ลำบากกว่าเพราะเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต ระบบโลกาภิวัฒน์ที่เข้ามาทำให้ทุกคนต้องแข่งขันมากขึ้นและสู้กันเองเพื่อความอยู่รอด และการแปลซับไทยที่น่าชื่นชมมากเลย เขาใช้คำได้ดีอะ ให้เราเห็นภาพชัดอย่าง สู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับงี้ แบบใช่เลยๆ ชีวิตของทุกคนที่ต้องเจอปัญหา เราพยายามแล้วแต่ผลลัพธ์ไม่ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ เนื้อเรื่องแม้เป็นการย้อนอดีตแต่บทมันเกี่ยวโยงกับความเป็นไปในปัจจุบัน นี่เป็นจุดเด่นคืออย่างของเรื่องนี้ อันนี้คือรีวิวแบบไม่สปอยตอนจบนะ ให้ทุกคนไปลุ้นกันเองกับปริศนาที่เราต่างสงสัยกัน
ซีรี่ส์เรื่องนี้รสชาติกลมกล่อมมาก โดยเฉพาะปมด้านดีฬานะ เกาหลีนี่เรื่องกดดันนักกีฬาคือเลื่องลือมากนะ ยิ่งถ้าพลาดเหรียญ แพ้ประเทศคู่แข่งนี่โดนโจมตีหนักมาก แต่ซีรี่ส์นี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของนักกีฬาเลย คนด่าก็เอาแต่ด่าอย่างเดียวแต่ไม่ได้รู้สึกเลยว่านักกีฬาก็เสียใจเป็นนะ เรื่องนี้นี่เราว่าคนเขียนบทแอบเขียนประชดความคิดของชาวเน็ตเกาหลีโดยเฉพาะเลยนะ ทุกเรื่องที่เราดูซีรี่ส์เกี่ยวกับกีฬากัน มันจะเป็นฉากที่เรามีความสุขกับชัยชนะใช่มะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยมั้งที่มีฉากการแข่งขันกีฬาที่สมจริง ได้บรรยากาศการแข่งระดับโลก แต่ในส่วนการแข่งขันผลของชัยชนะเราไม่ได้สนุกมันเลย มันเศร้าจนน้ำตาแตกแทน เตรียมทิชชู่กันนะ
สำหรับนักแสดงนั้น นางเอกคิมแทรี น่ารักมาก อายุแม้เข้าเลข 3 แต่เล่นบทเด็กอายุ 18 ได้เนียนมากเลย มันมีความเป็นเด็กแต่ไม่ใช่เด็กง่องแง่งอ่าอธิบายไม่ถูก แล้วในเรื่องก็มีพัฒนาการตามอายุและประสบการณ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงอายุ ส่วนพระเอกนัมจูฮยอก เรื่องความหล่อไม่ปฏิเสธ แต่บทนี้มันทำให้เขามีเสน่ห์ขึ้น คือบทในเรื่องนี้มันไม่ได้ใช้แอคติ้งใหญ่แสดงออกมานะ บทมันเน้นการสื่อสารผ่านความรู้สึก ผ่านดวงตา ผ่านใบหน้ามากกว่า เราว่านัมจูฮยอกเหมาะกับบทแบบนี้นะ ทั้งพระนางเลย พวกเขาสวมบทบาทได้จนทำให้เราอิน พี่แทรีเป็นนาฮีโดแบบนี่แหละนาฮีโดต้องพี่เขาเล่นเท่านั้น ส่วนบทแพคอีจินก็ต้องนัมจูฮยอกเล่นนี่แหละใช่เลย คือทั้งคู่ต่างก็รับผิดชอบกับบทได้ดีมากแถมเคมีระหว่างกันก็ดีมาก ดูรู้เลยว่าบทแต่ละช่วงความสัมพันธ์ค่อยๆพัฒนากันไปเรื่อยๆตามความสนิทที่เกิดขึ้น ส่วนอีกบทหนึ่งเลยที่ชื่นชมมากคือบทโกยูริม ที่ยูนาเล่น รู้ว่าเธอเป็นไอดอลมาก่อนแต่ยังไม่เคยได้เห็นฝีมือทางการแสดงเลย ฉากแรกที่เปิดตัวคือตะลึงความสวย ออร่าแรงมาก แถมการแสดงในบทยูริมดีมาก ในความลำบากเพราะความยากจน แถมชีวิตลำบากไม่ได้สบาย โอกาสในชีวิตจึงไม่เยอะ ใจจริงตัวละครโกยูริมน่าสงสารมากๆนะ แม้หลายคนจะหงุดหงิดกับตัวละครนี้กัน แต่ถ้าทำความเข้าใจตัวละครนี้จะไม่รู้สึกเกลียดนางเลยนะ
ขอแทรกอีกประเด็นหนึ่งของความสัมพันธ์นางเอกและยูริมนะ นึกออกมาพอดี มันมองให้เห็นความเป็นจริงอย่างหนึ่งนะเวลาเห็นในเน็ตเถียงกัน นางเอกแม้ชมรมฟันดาบโรงเรียนเก่าจะโดนยุบไปแต่ด้วยฐานะที่ไม่ลำบาก มีแม่ที่เป็นนักข่าวดังมีเส้นสายก็สามารถที่จะย้ายไปในจุดที่ต้องการได้เพราะมีครอบครัวซัพพอร์ต แต่กับยูริม พ่อแม่เป็นแค่คนทำมาหากินไม่ได้มีคนช่วยเหลือหาโอกาสให้ ต้องใช้ความพยายามของตัวเองในการหาโอกาส ต้องผลักดันตัวเองเท่านั้น แต่ขนาดได้เหรียญทองโอลิมปิก สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือตามสถานการณ์ลำบากที่เจอ ส่วนตัวมองว่ามันเหมือนยืนยันว่าทุกคนลำบากจริง แต่ไม่ใช่ว่าใครก็ตามจะสามารถลุกขึ้นมาสู้ ฝ่าฟันอุปสรรคได้ในทันทีนะ ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นอะมันอยู่ที่จุดเริ่มต้นเลย แค่เริ่มก็ไม่เหมือนกันละ ล้มกับมีอย่างอื่นรองรับกับล้มแบบล้มไปเลย มันไม่เหมือนกันนะ นางเอกล้มแต่ยังมีแม่ไงคอยช่วยเหลือ ถึงสามารถประสบความสำเร็จได้ ความพยายามของนางเอกก็ส่วนหนึ่งแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม่ส่วน ส่วนยูริมไม่มีอะไรเลย ด้วยความพยายามของตัวเองต่อให้เก่งแค่ไหน ได้เหรียญทองมาแต่ก็ไม่มีใครซัพพอร์ตไง ชีวิตไม่ได้ราบรื่นตลอด เรื่องไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดนะ สุดท้ายก็ต้องทิ้งโอกาสตัวเองไปแสวงหาทางที่จะเติบโตได้ดีกว่า เพื่อครอบครัว บทยูริมคือน่าเห็นใจมากๆ มันยืนยันจริงๆว่าจุดเริ่มต้นแต่ละคนไม่เหมือนกัน เหมือนที่นางเอกสอนลูกเลยว่า ชีวิตคนเราการจะไปจุดที่สูงๆ มันไม่ใช่การขึ้นแบบกราฟแต่ชีวิตเราจะเติบโตได้ต้องเดินตามการขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ เวลาขึ้นบันไดเราจะเหนื่อยใช่ไหม??? ซึ่งระหว่างทางที่เราเดินขึ้นไปมันต้องใช้พลังงานในการจะเดินขึ้นไปเรื่อยๆ เหนื่อยขนาดไหนก็ต้องอดทน เพื่อเป้าหมายที่เราหวังไว้ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจมากๆนะเวลาจะทำอะไร ต้องมีอุปสรรค ท้อแท้จริงๆกว่าจะไปถึงจุดสูงสุดได้ เรื่องนี้คือสอดแทรกข้อคิด ให้กำลังใจได้ดีมากนะแถมบอกว่าชีวิตมันต้องต่อสู้ไปเรื่อยๆ มันคือสีสัน
สรุปเลยเรื่องนี้คือดีในแง่บทที่เข้าถึงคนในปัจจุบัน บทที่ต้องการสื่อสารกับผู้ชม รู้สึกพิมยาวมาก นี่น่าจะเป็นรีวิวซีรี่ส์ที่พิมเยอะสุดเลย ด้วยความประทับใจในบท ฉาก คำพูด นักแสดง ที่อยากให้ทุกคนได้ดูกันมันทัชในหลายๆที่ได้พิมไปข้างต้นนะ ยืนยันจริงๆอยากให้ทุกคนไปดูเรื่องนี้กัน ชีวิตมันสั้นแหละดังนั้นเราก็ดูซีรี่ย์เพื่อความบันเทิงกันไปละกันเนอะ
ปล. การรีวิวนี้เป็นการรีวิวโดยที่ยังไม่ดูในตอนบทสรุปที่ 16 ตอนจบนะ เราแก้รีวิวแค่สรุปบรรทัดสุดท้ายเท่านั้น
#TwentyFiveTwentyOne #NetflixTH
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น